(https://static.siamsport.co.th/news/2022/05/05/news202205050504689.jpg)
แมนฯ ซิตี้ กับ เรอัล มาดริด สองทีมยักษ์ของวงการลูกหนังเนรมิตเกมสุดสะเด่าในรอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ได้อย่างสุดระทึกอีกครั้งจากการฟาดแข้งนัดสองที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว เมื่อวันพุธที่ 4 พ.ค.ซึ่งต้องมีการต่อเวลาพิเศษ
และผลปรากฏว่าแชมป์ ลา ลีกา สร้างวีรกรรมได้สมฉายา "ราชันชุดขาว" อย่างแท้จริงเนื่องจากเจ้าพ่อถ้วยหูใหญ่พลิกสถานการณ์หลายตลบโกงความตายเขี่ย เรือใบสีฟ้า ตกรอบตัดเชือกอย่างไม่น่าเชื่อ พร้อมทั้งพาตัวเองทะยานเข้าไปชิงชนะเลิศกับ ลิเวอร์พูล ได้สำเร็จในเกม บิ๊กแม็ตช์ วันที่ 28 พ.ค.นี้ที่กรุงปารีส
อย่างไรก็ดี ก่อนจะได้คำตอบว่า หงส์แดง จะล้างตา ราชันชุดขาว จากที่เคยแพ้ทีมจากเมืองกระทิงดุรายนี้ได้หรือไม่ เราต้องว่ากันถึงเกมที่ เบร์นาเบว กันก่อนเนื่องจากมีห้าประเด็นที่สมควรระบุถึงดังนี้
1. ครึ่งแรกสูสี ครึ่งหลังเป็นของมาดริด
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1395394870-594x594.jpg)
เกมใน 45 นาทีแรกที่ เบร์นาเบว ออกมาแบบคู่คี่สูสีทั้งเปอร์เซนต์การครองบอล และโอกาสยิงประตู หากแต่ทั้งคู่ยังไร้ความเด็ดขาดจึงเสมอกันไปแบบไร้สกอร์
กระทั่งเริ่มครึ่งหลัง เรอัล มาดริด ซึ่งจำเป็นต้องยิงประตูให้ได้อย่างน้อยหนึ่งเม็ดเพื่อตีเสมอด้วยสกอร์รวม พร้อมทั้งยื้อโอกาสลุ้นเข้าชิงชนะเลิศก็เริ่มเร่งเกมอย่างเต็มสูบกดดัน เรือใบสีฟ้า ได้ดีขึ้นเป็นลำดับท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนบอลจนทำเอาทีมจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก โอนไปเอนมาชนิดที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยนักว่าจะมีสักกี่ทีมที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ วิ่งวุ่นได้มากถึงเพียงนี้
และที่สำคัญ จะสังเกตได้ว่าเกมนี้ เควิน เดอ บรอยน์ จอมทัพของทีมเยือนแทบไม่มีบทบาทเลยเนื่องจากได้สัมผัสบอลไม่มากพอ จนในที่สุด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ก็ตัดสินใจถอดกองกลางทีมชาติเบลเยี่ยมออกให้ อิลคาย กุนโดกัน ลงไปปั้นเกมในแดนกลางแทนช่วงกลางครึ่งหลัง
2. ไฮไลท์สำคัญ วอล์คเกอร์ v วินิซิอุส
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1395415959-594x594.jpg)
จากนัดแรกที่ วินิซิอุส จูเนียร์ มีส่วนสำคัญช่วยให้ เรอัล มาดริด ยังมีลุ้นในเกมนัดสอง แมนฯ ซิตี้ ก็มีข่าวดีก่อนลงเตะในรังของ ราชันชุดขาว เนื่องจาก ไคล วอล์คเกอร์ แบ็คขวาความเร็วสูงหายเจ็บกลับมาลงสนามได้
และจากที่เห็น ทั้งคู่เปิดฉากดวลสปีดกันอย่างน่าดูชมในหลายๆจังหวะโดยที่ดาวเตะอิงลิชไม่ถึงกับเสียท่าให้กับลีลาอันแพรวพราวของปีกแซมบ้า ต่างไปจากเกมแรกที่ แฟร์นานดินโญ่ ถูกส่งลงเล่นเป็นตัวสำรองแล้วทำให้ แมนฯ ซิตี้ เสียหาย
อย่างไรก็ดี ด้วยสภาพความฟิตที่ไม่ถึงกับเต็มร้อย วอล์คเกอร์ ซึ่งเจ้านายสกินเฮดยอมรับว่าต้องเสี่ยงส่งลงเล่นเกมสำคัญนี้จึงกัดฟันบู๊ได้อย่างเต็มที่ร่วม 70 นาทีก่อนเปลี่ยนตัวออกโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้หลังจากเขาทำหน้าที่ตามประกบ วินิซิอุส จูเนียร์ ได้อย่างดีที่สุดแล้ว
3. เป๊ป ตัดสินใจผิดคิดจนตัวตาย???
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1395402871-594x594.jpg)
แม้ วอล์คเกอร์ จะต้องออกจากสนาม แต่ แมนฯ ซิตี้ ก็ไม่เสียหายในเรื่องผลการแข่งขันเนื่องจากสกอร์ในช่วงนั้นยังนิ่งอยู่ที่ 0-0
ซ้ำร้าย พริบตาเดียวหลังจากแบ็คขวาอิงลิชเขยกออกจากเกมไป เรือใบสีฟ้า เป็นฝ่ายได้ประตูนำหน้าด้วยซ้ำจากฝีเท้าของ ริยาด มาห์เรซ ซึ่งทำให้ทีมจาก พรีเมียร์ลีก ได้เปรียบมากขึ้นอีกจมหู
ต่อสถานการณ์ดังกล่าว กวาร์ดิโอล่า เลือกรักษาสกอร์ที่นำห่าง และเปลี่ยนปีกทีมชาติแอลจีเรียออกในช่วงห้านาทีสุดท้ายโดยส่ง แฟร์นานดินโญ่ มิดฟิลด์ตัวรับลงไปทำหน้าที่หมายให้สกัดกั้นเกมรุกของทีมเจ้าบ้าน
อย่างไรก็ดี กลายเป็นว่าการถอดอาวุธในแดนหน้าของตัวเองออกเอื้อประโยชน์ให้ เรอัล มาดริด ได้ทำเกมรุกแบบเต็มสูบมากขึ้นชนิดที่ไม่ต้องพะวงเกมหลังบ้านแม้ก่อนหน้านั้น กวาร์ดิโอล่า จะส่ง แจ็ค กรีลิช ลงไปแทน กาเบรียล เชซุส แล้วก็ตาม
และในที่สุดสถานการณ์ก็เข้าทาง ราชันชุดขาว ข้างเดียวหลังจาก แมนฯ ซิตี้ เลือกติดระเบิดพลีชีพเอาไว้กับตัวในช่วงท้าย
ด้วยเหตุนี้ กวาร์ดิโอล่า จึงตกรอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งที่หกเทียบเท่ากับ โชเซ่ มูรินโญ่ แล้วโดยกุนซือกาตาลันเคยอกหักกับ บาร์ซ่า สองหนในซีซั่น 2009/10 และ 2011/12 บวกกับสมัยคุมทีม บาเยิร์น อีกสามหนซ้อนในซีซั่น 2013/14,2014/15 และ 2015/16
4. โรดรีโก้ และ เบนเซม่า
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240448464-594x594.jpg)
ดังคำกล่าวที่ว่า "สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร" กวาร์ดิโอล่า คงลืมประโยคคลาสสิคนี้ และเลือกเปลี่ยน แฟร์นานดินโญ่ ที่นัดแรกเล่นได้อย่างเลวร้ายลงไปแทน มาห์เรซ หมายให้ดาวเตะแซมบ้าทำลายเกมรุกของทีมเจ้าบ้าน
แต่หลังจากโดนกดดันหนักเข้า ในที่สุด โรดรีโด้ ซูเปอร์ซับ และ แมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ของแชมป์ ลา ลีกา ก็ระเบิดฟอร์มสุดมหัศจรรย์คลำเป้าคนเดียวสองประตูในช่วงทดเวลาต่ออายุให้กับทีมเจ้าบ้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ต่อการเหมายิงสองเม็ดของดาวเตะชาวเมืองกาแฟส่งผลให้เขาเป็นพ่อค้าแข้งรายที่สี่ที่ยิงประตูได้เกินกว่าหนึ่งเม็ดในช่วงนาทีที่ 90 และหลังจากนั้นของศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ต่อจาก เอมิล ฟอร์สเบิร์ก ของทีม แอร์เบ ไลป์ซิก ที่ทำได้เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2019 ,แกเร็ธ เบล ของ เรอัล มาดริด วันที่ 20 ต.ค.2010 และ นิลมาร์ ของทีม ลียง วันที่ 3 พ.ย.2004
ด้าน คาริม เบนเซม่า กองหน้าจอมเก๋าแทบจะการันตีรางวัล บัลลงดอร์ ในปีนี้มากขึ้นไปอีกเมื่อกดลูกโทษให้ทีมหนีห่าง แมนฯ ซิตี้ เป็น 3-1
พร้อมกันนี้ ประตูที่ว่าของสตาร์เฟรนช์แมนยังเป็นการสร้างสถิติเทียบเท่า คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เพื่อนเก่าในทีม ราชันชุดขาว ด้วยต่อการเป็นดาวซัลโวถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก รอบน็อคเอาท์ในซีซั่นเดียวกัน 10 ประตูโดย "ซีอาร์เซเว่น" ทำได้ในซีซั่น 2016/17
สำหรับอันดับรองลงมา 8 ประตูมีสองรายคือ โรนัลโด้ ในซีซั่น 2013/14 และ ลิโอเนล เมสซี่ ในซีซั่น 2011/12
และที่สำคัญ เบนเซม่า ยิงประตูทีมจากอังกฤษในศึก แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ได้เจ็ดลูกแล้วซึ่งถือว่ามากที่สุดสำหรับพ่อค้าแข้งหนึ่งราย แถมดาวยิงเลือดน้ำหอมเคยสอยตาข่าย ลิเวอร์พูล ทีมคู่ชิงชนะเลิศในปีนี้มาก่อนสี่ประตูด้วยจากการดวลกันห้าครั้งในถ้วยหูใหญ่
5. กฎอะเวย์โกลที่ถูกโละทิ้ง
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1395413666-594x594.jpg)
บอกเลยว่าการยุบกฏประตูทีมเยือนทิ้งในซีซั่นนี้ของ ยูฟ่า นับเป็นประโยชน์ของ แมนฯ ซิตี้ อย่างเห็นได้ชัด
จากสกอร์ชนะ 4-3 ในเกมแรก เรือใบสีฟ้า เพิ่มโอกาสเข้าชิงชนะเลิศมากขึ้นไปอีกเมื่อบุกไปนำ เรอัล มาดริด 1-0
แต่แล้วหลังจากทั้งสองฝ่ายปรับแผนการเล่นและแท็คติกผ่านการเปลี่ยนตัวสำรองก็เป็น เรอัล มาดริด ที่ทำได้ดีกว่า และพลิกสถานการณ์ได้จนเป็นฝ่ายตีเสมอด้วยสกอร์รวม 5-5 จากสองประตูในช่วงท้ายเกมของ โรดรีโก้
ฉะนั้นแล้ว หากยังมีกฏอะเวย์โกล แมนฯ ซิตี้ จะตกรอบทันทีโดยไม่ต้องเล่นต่อในช่วงต่อเวลาพิเศษเนื่องจากโดน เรอัล มาดริด บุกไปสอยตาข่ายที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม สามเม็ด ขณะที่พวกเขายิงได้ที่ เบร์นาเบว แค่เม็ดเดียว
อย่างไรเสีย ราชันชุดขาว ซึ่งกำลังคึก และโมเมนตัมไหลมาเข้าทางแล้วในช่วงต่อเวลามาได้ลูกโทษเพิ่มในนาทีที่ 95 จึงเป็นฝ่ายพลิกนรกชนิดยมบาลมองค้อนได้เข้าชิงชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 6-5