(https://static.siamsport.co.th/column/2022/04/27/column202204270747761.jpg)
เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แมนฯ ซิตี้ ในเกมแรกของรอบตัดเชือก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงความ 'ตายยาก' นะครับ
'ตายยาก' อย่างไร เดี๋ยวเล่าให้อ่านกัน
1. อันดับแรกอยากให้ดูการจัดตัวผู้เล่นของทั้ง 2 ทีมก่อน
ทีมสีฟ้าเจ้าถิ่นไม่มีฟูลแบ็คตัวจริงอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์ กับ เชา กานเซโล ที่เจ็บและแบน
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240255222-594x594.jpg)
จอห์น สโตนส์ จึงถูกขยับไปเล่นเป็นแบ็คขวา ขณะที่
โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ ลงแบ็คซ้าย โดยไม่มีที่ว่างให้ เนธาน อาเก้
กลาง 3 คน โรดรี้ เป็นตัวรับ เควิน เดอ บรอยน์ กับ แบร์นาโด้ ซิลวา เป็นตัวขับเคลื่อนเกมรุก
ส่วน 3 ประสานแดนหน้า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า มาแปลก
คือใช้ 'หน้าเป้า' แบบเป็นตัวเป็นตน ไม่ใช่กองหน้าตัวปลอมเหมือนเคย โดยใช้ กาเบรียล เชซุส เป็นหัวหอก ขนาบข้างด้วย ริยาด มาห์เรซ กับ ฟิล โฟเด้น
ทางด้านทีมชุดขาวมาในระบบ 4-3-3
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1393887728-594x594.jpg)
สิ่งที่น่าสนใจคือไม่ส่งมิดฟิลด์ตัวรับอย่าง กาเซมิโร่ ลงสนาม โดยให้ โทนี่ โครส ยืนต่ำแล้วขยับ บัลเบร์เด้ จากตำแหน่งหน้าขวาลงมาในแดนกลาง 3 ตัวบนจัดหนักด้วยหัวหอกอย่าง คาริม เบนเซม่า ขนาบข้างด้วยตัวเร็วอย่าง วินิซิอุส เจอาร์ กับ โรดรีโก้
เทียบกันตำแหน่งต่อตำแหน่ง แมนฯ ซิตี้ เหนือกว่าพอสมควร
2. ทีมปลาฉลามใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั่น ชิงจังหวะนำห่างไปก่อนถึง 2-0 ด้วยการครองบอลที่เหนือกว่า และจังหวะเข้าทำที่เด็ดขาดยิ่งนัก เหมือนเกมจะจบเร็ว และไม่สนุกนะครับ
เท่านั้นไม่พอ
แม้จะนำถึง 2 ประตู แมนฯ ซิตี้ ก็ยังครองบอลบุกมากกว่า แถมมีโอกาสฝังผู้มาเยือนแบบไม่ให้ผุดไม่ให้เกิด
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240255305-594x594.jpg)
พวกเขาควรจะได้ประตูนำ 3-0 จากจังหวะที่ ริยาด มาห์เรซ หลุดไปแล้วไม่ยอมจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีม ก่อนยิงเองไปเข้าหน้าต่าง
อีกจังหวะหนึ่ง ฟิล โฟเด้น โขยกเข้าไปสับลูกถากเสาไกลออก
หากนำ 3-0 ได้สำเร็จ ผมว่าจบทันที
สถานการณ์ตอนนั้น เรอัล มาดริด เข้าขั้นวิกฤตแล้ว
ต่อเมื่อรอดพ้นจากการเสียประตูที่ 3 อาการของทีมชุดขาวก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ
พลัน คาริม เบนเซม่า ก็ตีไข่แตกได้ดื้อๆ ไล่มาเป็น 2-1 และกลับมาสู่เกมซะอย่างนั้น !!!
3. แล้ว คาร์โล อันเชล็อตติ หรือที่สื่อมวลชนชาวไทยบางคนเรียกแกว่า 'พี่แช่' ก็มาเปลี่ยนแท็คติกให้ลูกทีมในครึ่งหลัง
คือครึ่งแรก เรอัล มาดริด เล่นแบบคุมพื้นที่ปล่อยให้ แมนฯ ซิตี้ เคาะบอลกันสนุกสนาน - ครึ่งหลังจึงปรับรูปแบบให้ลูกทีมพุ่งขึ้นไปบีบแล้วบดบี้เร็ว เพื่อแย่งบอลมาทำประตู
พูดง่ายๆ ว่ากล้าได้และกล้าเสียมากขึ้น แต่ก็เสี่ยงขึ้นเช่นกัน
ว่าแล้ว แมนฯ ซิตี้ ก็ยิงนำ 3-1
ทว่าราชันแห่งยุโรปก็ไม่ยอมง่ายๆ ไล่มาเป็น 3-2 อย่างรวดเร็ว
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1393872733-594x594.jpg)
ถึงจุดนั้น ผู้ชมทางบ้านอย่างผมเห็นแล้วนะครับว่าเกมรุกของ เรอัล มาดริด มีประสิทธิ์ภาพสูง รูปเกมเป็นรอง แต่ผู้เล่นมีคุณภาพ มีโอกาสเพียงเล็กน้อยก็สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้โดยพลัน
ด้วยเกมรุกที่อันตราย ตอนตามหลัง 3-2 เวลาบุกเล่นเอาเจ้าถิ่นออกอาการเป๋เหมือนกัน และมีโอกาสที่จะตีเสมอเป็น 3-3 เลยด้วย
ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนในเกมรับ เฉพาะอย่างยิ่งคู่เซ็นเตอร์แบ็คที่ไม่ค่อยน่าไว้ใจสักเท่าไหร่
แมนฯ ซิตี้ จึงทิ้งเป็น 4-2 ซึ่งถ้าจบด้วยสกอร์นี้ พวกเขามีสิทธิ์เข้าชิงชนะเลิศสูงมาก-ขอบอก
4. เรื่องยังไม่จบง่ายๆ เมื่อ เรอัล มาดริด มาได้จุดโทษจากจังหวะที่ เอเมอริค ลาปอร์กต์ ทำแฮนด์บอล !!!
จากภาพช้าแสดงให้เห็นว่าบอลแฉลบศีรษะของเขามาโดนแขนที่กางออกอย่างไม่ตั้งใจ
ชัดเจนว่าไม่เจตนาก็จริง แต่หากบอลไม่ไปโดนแขน มันก็มีโอกาสที่จะหลุดไปถึงผู้เล่นทีมชุดขาว
ฉะนั้นเป็นจุดโทษก็ถูกแล้ว
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1393880979-594x594.jpg)
แล้วดู 'เฮียเบ๊นซ์' สังหารจุดโทษซีครับ
แหม่...มันช่างเลือดเย็นดีนักแล
เรอัล มาดริด ไล่มาเป็น 4-3 ก่อนจะจบด้วยสกอร์นี้
5. นี่แหละที่ผมบอกว่าพวกเขาตายยาก แม้ว่าจะแพ้ก็ตาม
เรอัล มาดริด ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ 2 ประตูถึง 3 ครั้ง
คือ 2-0, 3-1 และ 4-2
(http://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240255855-594x594.jpg)
ทั้ง 3 ครั้งที่ตามหลัง 2 ประตู เหมือนลูกทีมของ 'พี่แช่' จะ 'เด๊ดห่า' ไปแล้วนะครับ ก็ยังอุตส่าห์ไล่มาได้ทั้ง 3 ครั้ง
ทีมแบบนี้น่ากลัว เพราะไม่ยอมตายง่ายๆ เหมือน 'เจสัน' แห่งทะเลสาบคริสตัล เลค ที่จมน้ำตายตอนเด็ก เพราะพี่เลี้ยงในค่ายแอบไปเอากันแทนที่จะดูแล