(https://static.siamsport.co.th/news/2022/04/27/news202204270518696.jpg)
แมนฯ ซิตี้ กับ เรอัล มาดริด เปิดศึกดวลเกือกในรอบตัดเชือกถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก นัดแรกที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันอังคารที่ 26 เม.ย.ได้อย่างน่าหฤหรรษ์โดยแท้ก่อนที่เจ้าบ้านจะเฉือนเอาชนะไปได้แบบน่าใจหายใจคว่ำด้วยสกอร์ที่ยิงใส่กันแบบไม่กลัวเปลืองกระสุน 4-3
และสำหรับการปะทะกันของทีมจากเมืองผู้ดีที่กระหายได้สัมผัสกับโทรฟี่บิ๊กเอียร์เป็นสมัยแรกกับเจ้าพ่อถ้วยหูใหญ่ตัวจริงเสียงจริงก็มี 5 ประเด็นสำคัญเกิดขึ้นดังนี้
1.เริ่มต้นดีมีชัยไม่ถึงครึ่ง
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240255472-594x594.jpg)
ฟุตบอลจะแพ้จะชนะขึ้นอยู่ที่การทำประตูเท่านั้น และแค่วินาทีที่ 94 แมนฯ ซิตี้ ก็เจาะไข่แดง เรอัล มาดริด ได้จากลูกพุ่งโหม่งของ เควิน เดอ บรอยน์ ซึ่งทำประตูในรายการนี้ได้เป็นเม็ดที่สองของซีซั่นนี้ พร้อมทั้งเป็นประตูที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดในเกมรอบตัดเชือกของถ้วยหูใหญ่อีกด้วย
อย่างไรก็ดี ให้น่าเสียดายที่ดาวเตะทีมชาติเบลเยี่ยมไม่อาจฉายฟอร์มอย่างคงเส้นคงวาได้ตลอดทั้งเกม ยิ่งมาเจอกับทีมจอมเก๋าเขี้ยวลากดินอย่าง ราชันชุดขาว ทำไปทำมา แมนฯ ซิตี้ กลับปิดเกมไม่สำเร็จ และเปิดโอกาสให้ทีมเยือนมีลูกฮึดหลายหน
จนในที่สุด เรือใบสีฟ้า สามารถกำชัยไปได้แบบเฉียดฉิวเท่านั้นทั้งๆที่ออกสตาร์ตได้อย่างเลิศหรูเกินความคาดหมาย
2.เชซุส ฟอร์มกำลังร้อน
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1393884727-594x594.jpg)
เป็นเรื่องชอบธรรมแล้วที่ กาเบรียล เชซุส มีชื่อติดโผ 11 คนแรกปะทะกับ ราชันชุดขาว เนื่องจากเกม พรีเมียร์ลีก นัดล่าสุดที่ เรือใบสีฟ้า เปิดบ้านขยี้ วัตฟอร์ด เละเป็นผุยผง 5-1 เขาระเบิดฟอร์มเร่าร้อนท้าทายแสงแดดในเดือนเม.ย.ด้วยการสอยตาข่ายคนเดียวได้ถึงสี่ประตู
และจากที่เห็น สตาร์แซมบ้าตอบแทนความไว้เนื้อเชื่อใจจากเจ้านายได้สำเร็จด้วยการตะบันให้ทีมเงินถังของเมืองผู้ดีหนีห่างทีมเยือนเป็น 2-0 ตั้งแต่นาทีที่ 11 เท่านั้น
ต่อสกอร์นำเร็วสองเม็ด แมนฯ ซิตี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นทีมที่สามในประวัติศาสตร์ถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เช็คบิลคู่แข่งได้สองประตูตั้งแต่ 11 นาทีแรกของเกมในรอบตัดเชือกถัดจากที่ ยูเวนตุส ทำได้ในเดือนเม.ย.1999 แต่พลิกแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด คารัง 3-2 ในเกมนัดสองจนต้องร่วงตกรอบด้วยสกอร์รวม 4-3 โดยในปีนั้น ผีแดง คว้าแชมป์ไปครองด้วยการสยบ บาเยิร์น ได้แบบช็อกโลก 2-1
ส่วนอีกทีมได้แก่ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งทำได้ในเกมนัดสองบุกไปคว่ำ อาร์เซน่อล 3-1 เดือนพ.ค.2009 ทะลุเข้ารอบชิงได้อีกหนด้วยสกอร์รวม 4-1 แต่ตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับ บาร์ซ่า 2-0
ในทางกลับกัน เป็นครั้งแรกที่ เรอัล มาดริด เสียสองประตูตั้งแต่ 11 นาทีแรกในประวัติศาสตร์การฟาดแข้งถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ของพวกเขาเองด้วย
3.เบนเซม่า (ตัวเต็งบัลลงดอร์) ฆ่าไม่ตาย
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240259233-594x594.jpg)
จากจังหวะที่ไม่น่าจะส่งบอลเข้าประตูได้ คาริม เบนเซม่า ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าผลงานการระเบิดตาข่ายของเขาในซีซั่นนี้ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย และสมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นกองหน้าที่ใช้โอกาสไม่เปลืองเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้เพราะจับพลัดจับผลู จู่ๆดาวยิงตัวอันตรายวัย 34 ปีก็สับไกให้ เรอัล มาดริด ตีไข่แตกได้ และมันเป็นประตูที่ 13 ในรายการหูใหญ่ประจำซีซั่นนี้ของหัวหอกเลือดน้ำหอมก่อนที่เจ้าตัวจะโชว์เหนือสังหารลูกโทษเป็นประตูที่ 14 ในช่วงแปดนาทีสุดท้าย เป็นประตูที่ 85 ของเขาในถ้วยใบนี้จากการรับใช้สโมสรเป็นเกมที่ 600 พอดี และสอยตาข่ายเพิ่มได้ทั้งหมดเป็น 320 ลูกแล้ว
ถึงตอนนี้ พ่อค้าแข้งเฟรนช์แมนจึงสร้างชื่อเป็นนักเตะคนแรกของทีมที่ยิงประตูได้เกินกว่า 40 เม็ดในซีซั่นเดียวต่อจาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่เคยสร้างผลงานเอาไว้ 44 ประตูในซีซั่น 2017/18
และถ้าให้ดี รางวัล บัลลงดอร์ ประจำปีนี้ก็ไม่น่าจะพ้นเงื้อมมือ เบนเซม่า ที่สองรอบก่อนหน้านี้เขากระทุ้งแฮททริคใส่ทั้ง เปแอสเช และ เชลซี ได้อย่างน่าฮือฮา
4.จุดสลบของ แมนฯ ซิตี้
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240257689-594x594.jpg)
ก่อนเกมการฟาดแข้ง แมนฯ ซิตี้ มีปัญหาที่ตำแหน่งแบ็คขวาเนื่องจาก ไคล วอล์คเกอร์ กับ ชูเอา กานเซโล่ ถูกอาการบาดเจ็บเล่นงานทั้งคู่ และ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่คิดเสี่ยงด่วนใช้งาน
ด้วยเหตุนี้ จอห์น สโตนส์ เซ็นเตอร์ฮาล์ฟทีมชาติอังกฤษจึงถูกโยกให้มารับบทแบ็คขวาจำเป็น แต่ด้วยเหตุที่เจ้าตัวไม่สมบูรณ์เต็มร้อยเช่นกันจึงต้องเปลี่ยนตัวออกช่วงสิบนาทีสุดท้ายของครึ่งแรกให้ แฟร์นานดินโญ่ ลงไปเสียบแทน
และนับจากนั้นก็เป็นจุดพลิกผันของเกมที่ทำให้ วินิซิอุส จูเนียร์ ปีกซ้ายของทีมเยือนได้ใช้ความเร็วทำเกมรุกอย่างสนุกสนานก่อนสบโอกาสกระชากบอลหนีดาวเตะร่วมชาติรุ่นพี่เข้าไปพังประตูให้ทีมเยือนไล่มาแบบมีความหวัง 3-2
เท่านั้นไม่พอ ยังมีอีกหลายจังหวะที่ วินิซิอุส จูเนียร์ เอาชนะการดวลเดี่ยวกับ แฟร์นานดินโญ่ ได้สำเร็จ และหลังจากกดดันแผงหลังของเจ้าบ้านได้มากกว่าในครึ่งแรกลิบลับ สุดท้าย เอมเมอริค ลาปอร์กต์ ก็พลาดท่าทำแฮนด์บอลในเขตโทษจนได้ และส่งผลให้ เรอัล มาดริด พ่ายไปในเกมแรกแบบมีลุ้น 4-3
ฉะนั้นแล้ว ก่อนที่ แมนฯ ซิตี้ จะต้องเป็นฝ่ายบุกไปเยือน เรอัล มาดริด บ้างในช่วงกลางสัปดาห์หน้า กวาร์ดิโอล่า จำเป็นต้องเร่งเยียวยาเรียกความฟิตให้กับแบ็คขวาของทีมให้ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจออกจาก เบร์นาเบว ในสภาพศพไม่สวย
5.มาดริด รอปิดจ็อบในบ้าน
(https://static.siamsport.co.th/files/images/gettyimages-1240259240-594x594.jpg)
หลังบุกไปทุบ โอซาซูน่า 3-1 ก่อนบุกมาเยือน แมนฯ ซิตี้ ในถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ราชันชุดขาว ก็เก็บเพิ่มอีกสามแต้มนำหน้าเป็นจ่าฝูงของ ลา ลีกา โดยทิ้งห่างทีมอันดับสองไปไกลลิบเป็น 15 แต้มแล้ว
เท่ากับว่าสุดสัปดาห์นี้ คาร์โล อันเชล็อตติ จะพาทีมคว้าแชมป์ลีกเมืองกระทิงในซีซั่นนี้ได้สำเร็จหากเพียงแค่เสมอกับ เอสปันญ่อล เท่านั้นในเกมที่สังเวียนแข้ง ซานติอาโก้ เบร์นาเบว
และถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแชมป์หูใหญ่ 13 สมัยจะมีความฮึกเหิมกันมากขนาดไหนต่อการเปิดบ้านต้อนรับ เรือใบสีฟ้า ในเกมชี้ชะตาหาทีมเข้าชิงดำถ้วย แชมเปี้ยนส์ลีก ซีซั่นนี้ซึ่งยักษ์ใหญ่จากสเปนจะได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัยกับการได้เล่นต่อหน้ากองเชียร์ของตัวเอง
อีกทั้งอย่าลืมว่าการบุกมาเหยียบเมืองกระทิงหนล่าสุดของ แมนฯ ซิตี้ ในรอบก่อนหน้านี้ที่ดวลกับ แอตเลติโก มาดริด เรือใบสีฟ้า ก็หวิดแย่เหมือนกันเมื่อเจอเกมรุกที่บู๊ล้างผลาญของทีม ตราหมี เล่นงานชนิดเจียนอยู่เจียนไปอันแสดงให้เห็นว่าทีมของ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ก็เล่นเกมรุกได้ และทำได้อย่างน่ายำเกรงซะด้วย
และสำหรับ เรอัล มาดริด จะเห็นได้ว่าพวกเขาช่ำชองในการพลิกสถานการณ์ของเกมได้อย่างร้ายกาจจากสองรอบก่อนหน้านี้ที่กำราบทั้ง เปแอสเช และ เชลซี ได้สำเร็จ จึงไม่แน่ว่าสกอร์นำแค่เม็ดเดียวอาจทำให้ทีมของ กวาร์ดิโอล่า น้ำตาตกชวดเข้าชิงชนะเลิศอีกหนก็เป็นได้